การเดินทางของลูกชาวนาไทอีสาน ตอนที่ 2: ออกจากบ้านเพื่อไปเตรียมตัวเดินทาง

    ทีมอารยธาม

    เผยแพร่ 19 มิถุนายน 2567
    ตอนที่ 2
    ออกจากบ้านเพื่อไปเตรียมตัวเดินทาง

              “เฮดงานอีหยังคือได้ขี่เครื่องบินไปฮอดเมืองนอก”

              28 พฤษภาคม 67 ก่อนขึ้นรถ เข้าไปกราบลาพ่อใหญ่ตา แม่ใหญ่หม่อม

    พ่อกับแม่ให้พร แม่เตรียมชายผ้าถุง ตัดเล็บ ถอนเส้นผมทั้งของพ่อและแม่ใส่ในถุงให้ติดตัวไปด้วย คนอีสานเชื่อว่าตีนซิ่นหรือชายผ้าถุงของแม่จะปกปักรักษาคุ้มครองเมื่อลูกต้องเดินทางไกลหรือออกจากบ้านไปทำงาน

              เดินออกจากบ้านได้ก้มลงขอพรจากพระแม่ธรณีให้ลูกได้ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด แล้วหยิบดินใส่ถุง และหันไปกอดพ่อกับแม่เพื่อลาไปทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 

              เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ด้วยรถน้องชาย ที่พาน้องสะใภ้และ “ลิลิน” หลานสาวตัวจิ๋วมาเยี่ยมปู่กับย่า และจะกลับกรุงเทพฯ พอดี

              29 พฤษภาคม 2567 ถึงบ้าน อ.นุ้ย ตามนัดเพื่อแพ็คกระเป๋าโดยมีพี่เปิ้ล พี่น้ำ ช่วยดูช่วยเช็คเสื้อผ้า กลัวไม่พอและกลัวอากาศจะหนาว พี่น้ำตกใจเมื่อเห็นว่าเสื้อผ้าน้อย ไม่น่าจะพอ รีบหาเสื้อผ้า ถุงมือ ถุงเท้า รองเท้า ผ้าพันคอ มาเพิ่มให้ ช่วยจัดกระเป๋ากันหลายรอบ พี่เปิ้ลก็เปิดปิดกระเป๋าทุกรอบที่หาของมาเพิ่ม (เล่นจัดกระเป๋ากัน 3 คน จัดไป ขำไป หัวเราะกันไป สนุกสนาน) พี่นุ้ยก็เตรียมของที่จะจัดนิทรรศการชั่งน้ำหนัก เช็คน้ำหนักกันหลายรอบ สรุปต้องให้รถพี่เอฟมารับของไปส่งแพ็คที่โกดังคุณวรเกียรติ

              30 พฤษภาคม 2567  เมื่อถึงสนามบิน ในใจนึกย้อนไปเมื่อครั้งที่เป็นพนักงานภาคสนามในสนามบินสุวรรณภูมิเมื่อ 9 ปีที่แล้ว ทำงานหนักแลกเงิน ไม่เคยได้กลับบ้านช่วงเทศกาลเพราะงานบริการ ไม่มีวันหยุดราชการ มีแต่วันทำโอทีที่ได้เงิน 3 เท่า อดีตขี้งกมาก มีคนขาด ทำงานแทน ได้เงินเพิ่มอีก 

    'มีเงินแต่ไม่มีเวลา ป่วยไม่ได้ต้องตายในหน้าที่' เมื่อนานวันการทำงานไม่มีความสุข เริ่มคิดและออกเดินทางเพื่อค้นหาคำตอบของชีวิต หาความรู้ อบรมเศรษฐกิจพอเพียงด้วยศรัทธา หวังว่าจะทำได้และมีความสุข ตั้งเป้า 5 ปี ถ้าไม่สำเร็จจะกลับไปรับจ้าง บัดนี้จะเข้าปีที่ 10 แล้วจ้า

              แอบโม้ให้อาจารย์ยักษ์ ฟังว่า “สายการบิน LUFTHANSA เมื่อก่อนหนูนะขึ้นมาทุกชั้น ขึ้นมาทุกวันด้วย“ (หนูขึ้นเครื่องแต่ไม่เคยได้บิน)

              อาจารย์ ขำหัวเราะบอกว่า “ไม่ธรรมดานะเนี่ย ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นผู้โดยสารแล้ว” และถามกลับว่า “ทำงานอะไร ขึ้นเครื่องประเทศไหนบ้าง”

              “ทุกสายการบินนานาชาติค่ะ หลายสายการบิน เช่น เกาหลี จีน สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เครื่อง 380  อิสราเอล คูเวตที่มีอ่างทองคำ หนูก็ขึ้นมาแล้ว ^_^”  (โม้ต่อ)

              ความบันเทิงเรื่องแพ็คกระเป๋ายังไม่จบ เมื่อถึงเวลานัด เช็คน้ำหนักรวมของทุกคนที่จะเดินทาง ผู้ร่วมทริปพากันแกะของ ย้ายของ ย้ายกระเป๋าตั้งแต่ 1 ทุ่มจนถึงเวลาเช็คอินก็ยังคงย้ายของ แกะของ สลับกันไปมา เพราะเช็คน้ำหนักรวมกันไม่ได้ ต้องชั่งแยกน้ำหนักกระเป๋าของแต่ละคน (การเรียนรู้ใหม่ ประสบการณ์ใหม่ของลูกอีสาน)

              การเดินทาง 10 ชั่วโมงแรก ลงเครื่องที่สนามบินมิวนิค ดูเวลาต่างกันกับเมืองไทย ช้ากว่าไทย 5 ชั่วโมง เมื่อต้องผ่านจุดตรวจ ตม. การตรวจเอกสารเข้มและสอบถามหลายอย่าง ดีที่ไปเป็นคณะ มีพี่โอ๋เป็นล่ามช่วยสื่อสาร จึงผ่านไปได้ด้วยดี

              นั่งเครื่องต่ออีก 1.30 ชั่วโมง ก่อนเครื่องจะลงแตะพื้น “เกือบฮาก” (ภาษากลางคืออาเจียน) หูอื้อ กลั้นฝืนกลืนน้ำลายแบบถี่ๆๆ (อย่านะ อย่าพุ่งนะ) ไม่พูด ไม่มองคนรอบข้าง ตั้งสติ อดกลั้นสุดแรงเพราะเครื่องบินสะบัดและสั่นแรงมากเมื่อถึงพื้น “โอ้ย ไคแน้บ่ฮาก”  (โล่งอก ดีนะไม่อ้วก) ถึงสนามบินมีเจ้าหน้าที่คนไทยมารอรับ และเอากระเป๋าไปฝากไว้ที่โรงแรม รอเวลาเช็คอิน

              ถึงกรุงโรมวันที่ 31 พฤษภาคม เวลาประมาณ 10.30 น. อากาศกำลังดี ไม่หนาว

              การเดินทางขากลับก็ไม่แพ้ขาไป

              เรื่องเล่าประสบการณ์อันเลวร้าย เรื่องเครื่องดีเลย์ จากผู้เชี่ยวชาญหลายท่านที่เดินทางบ่อย ทำให้ผู้ที่ประสบการณ์น้อยนิด กังวลแบบนิ่งๆ ในใจภาวนา เรามาทำงานเพื่อชาติทุกอย่างต้องราบรื่นคล่องตัวทุกประการ เทวดาคงไม่ใจร้ายกับทีมที่เสียสละทำงานเพื่อผู้อื่น ด้วยเวลาต่อเครื่องที่มีเพียง 1 ชั่วโมงกว่าๆ เมื่อลงจากเครื่อง คุณวรเกียรตินำทีมเช็คช่องทางที่จะไปต่อเพราะต้องรีบไปขึ้นรถไฟให้ทัน เผื่อเวลาผ่าน ตม. และเช็คอิน ทั้งทีมเดินกึ่งวิ่ง ลากกระเป๋า สะพายเป้ แต่เราสิ... ช็อกโกแลตของฉันจะต้องไม่ละลายก่อนถึงมือผู้รับ (น้ำหนักประมาณ 3 กก.ที่ไม่ยอมโหลดใต้เครื่อง ต้องหิ้ววิ่งสู้ฟัดให้ทันทีม โอ้! ดีนะที่เปลี่ยนใจเอาคืนไว้ที่ร้านครึ่งหนึ่งก่อนจ่าย) 

              เมื่อขึ้นรถไฟครบทั้งทีม โล่งอก ดีใจ น่าจะทันเวลาเช็คอิน แต่... ประตูรถไฟปิดไม่ได้จ้า เปิดปิดอยู่หลายรอบ ตอนแรกคิดว่าน่าจะรอคน  ป่าวเลยจ้า... ระบบมีปัญหา เจ้าหน้าที่ต้องโทรตามช่างมาดูและแก้ไขจึงเดินทางต่อได้ เสียเวลาไปเกือบ 10 นาที

              ลงรถไฟ วิ่งต่อจ้า มาถึงจุดเช็คอิน ดูเวลาและช่องที่จะขึ้นเครื่อง ยังไม่แจ้งขึ้นบอร์ดดิ้ง พอได้นั่งพักหายใจ เข้าห้องน้ำกัน

              สุดท้าย... ได้ขึ้นเครื่องกลับถึงเมืองไทยโดยสวัสดิภาพ เครื่องดีเลย์นิดหน่อยเพราะสภาพอากาศ มีฝนตก มีเมฆ ลงเครื่องวันที่ 7  พฤษภาคม เวลาประมาณ 15.00 น. (ข่อยฮอดประเทศไทยแล้วเด้ออิพ่ออิแม่)


    เรื่อง Writer

    นามูน


    ภาพ Photography

    นามูนและทีมสื่อคณะเดินทาง



    ความคิดเห็น