วันแห่งความประทับใจ รับมอบหนังสือเชิญพระราชกระแสทรงชมเชย และให้กำลังใจ

    พี่นุ้ย

    เผยแพร่ 06 กันยายน 2566

    วันที่ ๕ กันยายน ๒๕๖๖ เป็นอีกวันที่ต้องจารึกไว้ “ในความทรงจำ” 

    ๑๔ ปีกับการทำงานร่วมกับเครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติ ทั้งในนาม “อาสาสมัคร สถาบันเศรษฐกิจพอเพียง” จนมาถึง “ผู้อำนวยการโรงเรียนปูทะเลย์” ได้ทำโครงการน้อยใหญ่มากมาย เพื่อขับเคลื่อนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้ถึงกลุ่มคนต่างๆ ทั้งเกษตรกร นักเรียน เยาวชน คนทำงาน ข้าราชการ ผู้บริหาร พระ เณร จัดขบวนรณรงค์อีกมากมายทั้งหมดพุ่งเป้าหมายไปที่เดียวคือ “ขับเคลื่อนงานของพระเจ้าแผ่นดิน” ในหลวงรัชกาลที่ ๙  เหตุเพราะรู้เห็นชัดเจนด้วยตนเองว่า หลักคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และทฤษฎีใหม่ที่พระองค์ท่านพระราชทานไว้ให้เป็นมรดกของชาวไทยนั้น เป็น “ที่พึ่ง และทางรอด” ได้จริง แสดงฤทธิ์จริงให้เห็นด้วยการ “เปลี่ยน” ทั้งกระบวนทัศน์ (Mindset) ของผู้คน เมื่อเขาเข้าใจ ทุกสิ่งในชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไปเอง ด้วยตัวเขาเองอันเป็นความหมายของ “ระเบิดจากข้างใน” ชีวิตทั้งชีวิตจะเปลี่ยนไปในเส้นทางที่ดีขึ้น มีความสุขกับความเป็นจริงของชีวิต ด้วยใจที่พอ และจิตที่เห็นประโยชน์ตนมากกว่าประโยชน์ท่าน

    เมื่อวาน จึงเป็นวันที่อยากจะบอกว่า พวกเรามาถึงหมุดหมายสำคัญหมุดหมายหนึ่งเลยทีเดียว แม้จะยังไม่ใช่ปลายทาง แต่ก็เป็นหมุดหมายที่คาดไม่ถึง เป็นผลลัพธ์ที่เกินคาด (Unexpected Outcome) เมื่อหน่วยงานร่วมจัดกิจกรรม ประชุมเชิงปฏิบัติการ อำเภออารยเกษตร ๖ อำเภอ ได้รับ “หนังสือเชิญพระราชกระแสทรงชมเชย และให้กำลังใจ จากพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ ๑๐" ซึ่งยังความปลื้มปิติมาให้กับทุกคน ทุกหน่วยที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมในวันนั้น 

    อาจารย์ยักษ์ท่านจึงได้กระตุ้นให้พวกเรา ระลึกถึงรากเหง้าความเป็นมาของผู้ที่เดินทางสายนี้มาก่อน คนที่ลงหลักปักฐานไว้ให้เรา เพื่อให้พวกเราจะได้ไม่ลืมตัว ไม่ลืมอดีต ไม่หลงตัวคิดว่าความสำเร็จนั้นเกิดจากเราเพียงผู้เดียว กลุ่มเดียว ให้สำนึกว่าความสำเร็จที่ได้มานั้นล้วนมาจากทุนของผู้ที่กล้าก้าวมาก่อน งาน “มุทิตาจิต” ที่มีความหมายถึง “พลอยยินดี” จึงเกิดขึ้น ให้พวกเราได้มาแสดงมุทิตาจิตต่อผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้ถากถางเส้นทาง พลอยยินดีต่อกันและกัน ต่อลูกต่อหลานที่ได้เข้ามาร่วมเส้นทางแต่เยาว์วัย ให้ทุกคนได้ร่วมพลอยยินดีในงานที่ก้าวเดินได้ตามเป้าหมาย และมากกว่าเป้าหมาย ขยายผลไปยังประโยชน์ให้ผู้คนได้มากขึ้นอย่างเกินคาด ที่สำคัญ หนังสือเชิญพระราชกระแสทรงชมเชยและให้กำลังใจ ย่อมหมายถึงว่าเรา “มาถูกทางแล้ว” งานของเราจึงจะได้เร่งขยายต่อไปได้ด้วยความเข้าใจกันของทุกฝ่าย 

    งานวันที่ ๕ กันยายน จึงมีความสำคัญต่อการเคลื่อนงานของในหลวง ร.๙ ไปสู่เป้าหมาย การสร้างแหล่งที่พึ่งของผู้คนให้ได้จำนวน ๓ ล้านคน ใน ๑๐ ปี (เป้าหมายนี้ อาจารย์ยักษ์ชวนกันตั้งไว้เมื่อ ๑๐ ปีก่อน สมัยเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตอนนี้เหลือ ๕ ปีแล้ว) ด้วยเหตุแห่งทุกข์นั้นจะปรากฎชัดเจนขึ้น ทั้งโลกร้อนจนถึงขั้นโลกเดือด จึงต้องเร่งสร้าง “สัปปายะสถาน ๔”  (สถานที่ดี คนดี อาหารดี มีธรรมะ) ไว้เป็นแหล่งที่พึ่งของผู้คนให้ได้ ถ้าอย่างน้อยที่ละ ๑,๐๐๐ คน ก็ต้องให้ได้ ๓,๐๐๐ แห่ง เพื่อเป้้าหมาย ๓,๐๐๐,๐๐๐ คน ที่นั้นต้องมีทั้งอาหาร อากาศดี คนดี มีน้ำจิต น้ำใจ คบง่ายเป็นที่พึ่งทางใจของผู้คนในโลกยุคสับสน ทั้งโลกเดือดและเดือดดาล นี้ 

    เวลาผ่านไป ๕ ปี เห็นการเคลื่อนของผู้คนที่เข้ามาในเส้นทางสายนี้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะโครงการ “พึ่งตน เพื่อชาติ” ที่่ทำให้เราได้เห็นถึงจิตที่อาสาของผู้คน ที่เกิดและมีขึ้นได้ด้วยธรรมะจัดสรรเส้นทางให้ได้มาพบกัน และยังมีทีม “ชาวนา มหานคร” ร่วมกับ “Eco-Villege บึงน้ำรักษ์” เครือข่าย “ครอบครัวปูทะเลย์” มาสมทบกับทีมกสิกรรมธรรมชาติจากทั่วประเทศ อันเป็นผลให้เมื่อวานเป็นภาพของการทำงานร่วมกันที่อบอุ่น เบา สบาย เห็นเป้าหมายและสายใยเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน 

    สัปปายสถาน ๔ จึงเกิดขึ้นพร้อมเมื่อวานนี้ให้เราเห็นประจักษ์ตา เป็นธรรมะในวิถีที่ทำให้จิตใจยกระดับขึ้นได้จริง จากผู้คนที่มีมุทิตาจิต “พลอยยินดี” กรุณา และเมตตาต่อกัน เป็นหลักในพรหมวิหาร ๔ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ครบถ้วนจึงเป็นเครื่องอยู่ของพรหม เป็นหลักธรรมอันเป็นเครื่องยึดปฏิบัติของมนุษย์

    หัวใจสำคัญคือ จะเดินต่ออย่างไร 
    ให้ขยายผลไปยังอำเภออารยเกษตร เขตแห่งความเจริญ ไปยังโรงเรียนอารยเกษตร และผู้คนที่จะได้รับประโยชน์จากความเข้าใจด้วยตนเอง และร่วมเดินสร้างทางใหม่นี้ไปด้วยกันได้ ในรูปแบบของตนเอง 

    งานใหญ่แต่ไม่ทุกข์ใจเลย เพราะเชื่อในคำอาจารย์ 
    “โลกทั้งใบเปลี่ยนได้ด้วยคนเพียงคนเดียวเสมอ 
    พระพุทธเจ้าก็เปลี่ยนโลกใบนี้ ด้วยคน คนเดียว 
    เปลี่ยนก็เปลี่ยนจากใจคน คนเดียวนี้ก่อน
    ถ้าใจชนะเพียงคนเดียว แต่สิ่งที่ทำ…มันถูก มันตรง 
    คนทั้งโลกก็จะเดินตามเรา”  
    (อาจารย์ยักษ์ กล่าวไว้เมื่อ 21.07.2555)

    ไปต่อ เดินต่อ 
    แล้วพบกันใน “อารยทริป” 

    ความคิดเห็น